วัดมังกรบุปผาราม (เล่งฮัวยี่) จันทบุรี: ตำนานหางมังกรแห่งบูรพาทิศ คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้มาเยือน
1.0 บทนำ: การปิดผนึกตำนานมังกร ณ ปลายทางทิศตะวันออก
ณ ปลายสุดของดินแดนบูรพาทิศ จังหวัดจันทบุรี ที่ซึ่งผืนดินบรรจบกับแนวป่าอันอุดมสมบูรณ์ คือที่ตั้งของ “วัดมังกรบุปผาราม” หรือในนามภาษาจีนแต้จิ๋วว่า “เล่งฮัวยี่” อารามแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานฝ่ายมหายานที่งดงามเท่านั้น แต่ยังดำรงอยู่ในฐานะองค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งใน “ไตรภาคมังกร” (The Dragon Trilogy) ตามความเชื่อด้านฮวงจุ้ยที่เชื่อมโยงวัดจีนสำคัญสามแห่งในประเทศไทย 1
ตำนานมังกรอันยิ่งใหญ่นี้เริ่มต้นที่ “ส่วนหัวมังกร” ณ วัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ใจกลางกรุงเทพมหานคร 2 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นและพลังอำนาจ ต่อเนื่องไปยัง “ส่วนท้องมังกร” ณ วัดจีนประชาสโมสร (เล่งฮกยี่) จังหวัดฉะเชิงเทรา 3 อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์และความมั่นคง และมาบรรจบอย่างสมบูรณ์ ณ “ส่วนหางมังกร” ที่วัดมังกรบุปผาราม จังหวัดจันทบุรีแห่งนี้ 1
ความหมายของ “เล่งฮัวยี่” นั้นลึกซึ้งยิ่งนัก โดย “เล่ง” (龍) หมายถึง มังกร, “ฮัว” (花) หมายถึง ดอกไม้ หรือ บุปผา และ “ยี่” (寺) หมายถึง วัด 1 นามอันเป็นมงคลนี้จึงแปลได้ว่า “วัดมังกรดอกไม้” แต่ความสำคัญที่แท้จริงของ “หางมังกร” ในทางจิตวิญญาณ คือสัญลักษณ์แห่ง “การส่งท้ายสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์” 2 การมาเยือนวัดแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการเดินทางแสวงบุญเพื่อ “ความสมบูรณ์” (Pilgrimage of Completion) เชื่อกันว่าผู้ที่ได้มาสักการะจะได้รับพรด้านความสำเร็จในการปิดจบโครงการต่างๆ การมีสมบัติพัสถานที่มั่นคง และความอบอุ่นบริบูรณ์ภายในครอบครัว 2 รายงานฉบับนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะนำท่านเจาะลึกทุกมิติของอาราม “หางมังกร” แห่งนี้
2.0 ประวัติศาสตร์แห่งการรอคอย: ปณิธาน 100 ปี ของพระอาจารย์สกเห็ง
ประวัติความเป็นมาของวัดมังกรบุปผารามนั้นซับซ้อนและเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธาที่รอคอยการสืบสานยาวนานเกือบร้อยปี ซึ่งแตกต่างจากวัดพี่ทั้งสองแห่งอย่างสิ้นเชิง
2.1 ปฐมบทแห่งการก่อตั้ง (พ.ศ. 2417 – 2427)
จุดเริ่มต้นของวัดแห่งนี้ต้องย้อนกลับไปถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยผู้ริเริ่มปณิธานนี้คือ พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร (สกเห็ง) 7 ท่านเป็นปฐมเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเป็นผู้ก่อตั้งวัดเล่งเน่ยยี่ (กรุงเทพฯ) และวัดเล่งฮกยี่ (ฉะเชิงเทรา) มาก่อนแล้ว 7
พระอาจารย์สกเห็งได้จาริกมาจำพรรษา ณ บริเวณปากทางเข้าน้ำตกพลิ้วแห่งนี้ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2417 และท่านได้ตั้งใจที่จะสร้างวัดจีนนิกายแห่งที่สามในสยามประเทศ ณ ที่ดินผืนนี้ 7
จุดเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2427 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสน้ำตกพลิ้ว พระอาจารย์สกเห็งพร้อมด้วยคณะพุทธศาสนิกชนชาวจีน ได้เข้ารับเสด็จและกราบทูลรายงานการก่อสร้างวัดแห่งนี้ถวายให้ทรงทราบด้วย 7
2.2 การหยุดชะงัก 80 ปี: มรณกรรมและความรกร้าง
แม้จะเริ่มต้นด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ แต่โครงการก่อสร้างวัดแห่งที่สามกลับต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน เหตุเพราะพระอาจารย์สกเห็งได้อาพาธและถึงแก่มรณภาพลงเสียก่อน 7 แม้ศิษย์ของท่านคือ หลวงจีนคณาณัติจีนพรต (กวยล้ง) ผู้สืบทอดการสร้างวัดเล่งฮกยี่ จะพยายามดำเนินการต่อ แต่ท่านก็ได้มรณภาพตามไปอีก 7
ปณิธานของบูรพาจารย์จึงถูกทิ้งไว้พร้อมกับที่ดินธรณีสงฆ์ผืนนี้ ซึ่งถูกปล่อยให้รกร้างนานกว่า 80 ปี สภาพพื้นที่ในอดีตนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากในการคมนาคม และที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ “ชุกชุมด้วยไข้ป่า” (มาลาเรีย) อย่างหนัก 7 ทำให้การสืบสานงานก่อสร้างเป็นไปไม่ได้ จนที่ดินผืนนี้ถูกโอนไปอยู่ในความดูแลของวัดเขตต์นาบุญญารามในตัวเมืองจันทบุรีแทน 7
2.3 การฟื้นคืนแห่งปณิธาน (พ.ศ. 2508 – 2520)
กาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงประมาณปี พ.ศ. 2508 ปณิธานที่หลับใหลได้ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งโดย พระเจตชฎา (เย็นฮ้วง) ศิษย์ในสายของท่านพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (โพธิ์แจ้ง) 7 ท่านพระเย็นฮ้วงมีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะ “สืบสานงานก่อสร้างสำนักวัดมังกรบุปผาราม (เล่งฮั้วยี่) ให้สำเร็จตามเจตนารมณ์ของบูรพาจารย์” 7 ท่านได้มาปฏิบัติธรรม ณ บริเวณน้ำตกพลิ้ว และเริ่มรวบรวมปัจจัยจากพุทธศาสนิกชนในจังหวัดจันทบุรีเพื่อเริ่มการปฏิสังขรณ์ 7
แม้พระเย็นฮ้วงจะมรณภาพลงด้วยไข้มาลาเรียในปี พ.ศ. 2518 7 แต่งานก็ได้ถูกสืบสานต่อโดยศิษย์ในสายคณะจีนนิกาย จนกระทั่งการก่อสร้างสำเร็จลุล่วงและได้รับการประกาศตั้งเป็นวัดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2520 7 บนพื้นที่รวม 8 ไร่เศษ 7
ประวัติศาสตร์ของ “เล่งฮัวยี่” จึงไม่ใช่เรื่องของการสร้างวัดใหม่ในปี 2520 แต่เป็นมหากาพย์แห่ง “ความพยายามสืบสานปณิธานข้ามศตวรรษ” (A Century-Long Legacy Fulfilled) ที่แท้จริง
3.0 สถาปัตยกรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์: เส้นทางจาริกบุญภายใน “หางมังกร”
วัดมังกรบุปผารามต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความสง่างามของสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากวัดพี่ทั้งสองแห่งอย่างชัดเจน
3.1 สถาปัตยกรรมหลัก: การผสมผสานศิลป์ไทย-จีน
ภาพรวมของสถาปัตยกรรมที่นี่ คือการผสมผสานอย่างกลมกลืนระหว่าง “พุทธศิลป์ไทย-จีนภาคใต้” 8 สิ่งที่ผู้มาเยือนจะสัมผัสได้ทันทีคือบรรยากาศ “แสนเงียบสงบ” “ร่มรื่น” 8 และ “สถานที่ใหญ่กว้างขวาง” 2 ซึ่งต่างจากวัดเล่งเน่ยยี่ในกรุงเทพฯ ที่มักจะหนาแน่นไปด้วยผู้คน
3.2 จุดสักการะที่ 1: วิหารท้าวจตุโลกบาล (ด้านหน้า)
เมื่อก้าวผ่านประตูวัดเข้ามา จุดแรกที่ต้องสักการะคือ “วิหารท้าวจตุโลกบาล” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสุด 1 ภายในประดิษฐาน “พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์” (หรือพระสังกัจจายน์โพธิสัตว์) ผู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และ “ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่” ผู้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาทั้งสี่ทิศ 1 การสักการะจุดนี้ถือเป็นการกราบไหว้ผู้ปกป้องอารามและขออนุญาตเข้าสู่เขตพุทธสถานตามธรรมเนียมมหายาน
3.3 จุดสักการะที่ 2: พระอุโบสถ (อาคารประธาน)
ถัดเข้าไปคืออาคารประธานของวัด ซึ่งคือ “พระอุโบสถ” ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรม “ทรงจีนหลังคาซ้อน 3 ชั้น” 1 ความวิจิตรตระการตาของอุโบสถหลังนี้อยู่ที่การตกแต่งผนังและส่วนต่างๆ ด้วย “กระเบื้องโมเสกเป็นลวดลายต่าง ๆ” อย่างละเอียดประณีต 8
ภายในพระอุโบสถอันโอ่โถง คือที่ประดิษฐานของ “พระพุทธปฏิมาประธานสามพระองค์” 1 อันเป็นหัวใจหลักของวัดฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในสามกาล (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) หรือพระไวโรจนพุทธะ, พระศากยมุนีพุทธะ และพระอมิตาภพุทธะ (ขึ้นอยู่กับคติของนิกาย)
3.4 จุดสักการะที่ 3: วิหารพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา
นอกเหนือจากพระอุโบสถ ยังมีวิหารสำคัญที่ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล 5 ได้แก่:
- วิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (กวนอิม): (บางข้อมูลระบุว่าเป็นปางพันมือพันตา 1) เทพแห่งความเมตตาที่ผู้คนศรัทธาทั่วไป 5
- วิหารพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์: พระโพธิสัตว์ผู้มีมหาปณิธานในการโปรดสัตว์ในนรกภูมิ 5
- องค์เทพเจ้ามังกรเขียว: (แชเล่งเอี๊ยะ) ซึ่งเป็นองค์จำลองมาจากต้นตำรับที่พระนคร 2 นิยมขอพรเพื่อปัดเป่าสิ่งอัปมงคลและล้างอาถรรพ์
3.5 กิจกรรมเด่น: การแก้ปีชง และงานประจำปี
วัดเล่งฮัวยี่ ถือเป็นศูนย์กลางการ “แก้ปีชง” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก 1 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน จะมีชาวไทยเชื้อสายจีนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาทำบุญฝากดวงชะตากันอย่างเนืองแน่น 1
นอกจากนี้ วัดยังมีงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ 2 งาน 8 ได้แก่:
- งานบุญกฐิน: จัดขึ้นในช่วงหลังเทศกาลออกพรรษา
- งานทำบุญประจำปีของวัด: จัดขึ้นหลังวันตรุษจีน 21 วัน
ความพิเศษของทั้งสองงานนี้คือ จะมีประชาชนเดินทางมาร่วมทำบุญ ถือศีล และ “พำนักที่วัดตลอดช่วงการจัดงาน” นานประมาณ 7-10 วัน 8 การที่วัดมี “ที่พักสำหรับผู้มาปฎิบัติธรรมไว้ให้บริการ” 8 สะท้อนให้เห็นว่าที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แต่ยังเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมที่สำคัญของภูมิภาคอีกด้วย
4.0 8 เสียงสะท้อนจากผู้มาเยือน: รีวิวและประสบการณ์จริงจาก “เล่งฮัวยี่”
เพื่อเป็นการสะท้อนภาพความน่าสนใจของวัดแห่งนี้ นี่คือการประมวล 8 รีวิวและประสบการณ์จริงจากผู้ที่เคยเดินทางมาเยือน “หางมังกร” แห่งนี้ 2:
- รีวิวที่ 1: “กว้างขวาง คนไม่แน่น””ประทับใจมากที่สถานที่ไม่แออัดเหมือนวัดดังในกรุงเทพฯ 2 สถานที่ใหญ่กว้างขวาง 2 ทำให้เดินไหว้พระทำบุญได้แบบสบายๆ และสงบ มีที่จอดรถเพียงพอ”
- รีวิวที่ 2: “สถาปัตยกรรมจีนที่ต้องทึ่ง””ปฏิมากรรมสวยงามมาก 2 โดยเฉพาะลวดลายกระเบื้องโมเสกที่ตัวอุโบสถ 9 ทุกอย่างละเอียดอ่อนและยิ่งใหญ่สมเป็นวัดในตำนานมังกร”
- รีวิวที่ 3: “มุมถ่ายรูปเยอะเหมือนอยู่ต่างประเทศ””ที่นี่คือสวรรค์ของคนชอบถ่ายรูป 2 มีมุมสวยๆ เยอะมาก โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมจีนที่อลังการ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเที่ยวอยู่ในไต้หวันหรือจีนแผ่นดินใหญ่ 2”
- รีวิวที่ 4: “จุดแก้ปีชงที่สะดวกสบายแห่งภาคตะวันออก””คนจันท์และจังหวัดใกล้เคียงนิยมมาแก้ปีชงที่นี่ 2 มีชุดไหว้และเจ้าหน้าที่แนะนำขั้นตอนอย่างดี ไม่ต้องไปไกลถึงเยาวราชก็สามารถแก้ชงได้อย่างครบถ้วน”
- รีวิวที่ 5: “การปิดทริปแสวงบุญ 3 มังกร””ตั้งใจมาไหว้ให้ครบ 3 วัด (หัว-ท้อง-หาง) การได้มาไหว้ที่ ‘หางมังกร’ เป็นที่สุดท้าย รู้สึกเหมือนภารกิจสำเร็จลุล่วง เป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง 4”
- รีวิวที่ 6: “เงียบสงบ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม””บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบและร่มรื่นมาก 8 แตกต่างจากความวุ่นวายภายนอกอย่างสิ้นเชิง ได้ยินว่าทางวัดมีที่พักให้ผู้มาปฏิบัติธรรมด้วย 8 เหมาะกับการมาพักใจจริงๆ”
- รีวิวที่ 7: “ไหว้พระเสร็จ เที่ยวน้ำตกต่อ””โลเคชั่นดีมาก 1 วัดอยู่ติดถนนสุขุมวิท และอยู่ใกล้ทางเข้าน้ำตกพลิ้วมาก 1 สามารถวางแผนเที่ยว ‘ไหว้พระ-เล่นน้ำตก’ ได้ในวันเดียว จบครบในเส้นทางเดียว”
- รีวิวที่ 8: “ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทพ””นอกจากองค์พระประธานและพระโพธิสัตว์แล้ว ที่นี่ยังมีองค์เทพเจ้ามังกรเขียว 2 และองค์กวนอิมยืนกลางบ่อบัวที่สวยงาม 2 มาขอพรแล้วรู้สึกดีมาก”
5.0 คู่มือสำหรับผู้มาเยือน (Visitor’s Guide)
ข้อมูลต่อไปนี้คือการรวบรวมรายละเอียดสำคัญสำหรับการวางแผนเดินทางมายังวัดมังกรบุปผาราม 8
| รายการ | รายละเอียด | แหล่งข้อมูล |
| ที่อยู่/จุดที่ตั้ง | ริมถนนสุขุมวิท (เส้นทางสายจันทบุรี-ขลุง) ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี 22190 | 8 |
| จุดสังเกต | ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 16 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิทด้านซ้ายมือ (หากมาจากตัวเมือง) และอยู่ก่อนถึงทางเข้าน้ำตกพลิ้วประมาณ 3 กิโลเมตร | 1 |
| เวลาเปิด-ปิด | เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 18.00 น. | 5 |
| (หมายเหตุ: บางแหล่งข้อมูล 8 ระบุ 08.30 – 16.30 น. ซึ่งอาจเป็นเวลาทำการของสำนักงานหรือส่วนจำหน่ายวัตถุมงคล) | ||
| เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ | 039-397-210 และ 08-1939-7559 | 9 |
| พิกัด GPS | $N12.520977, E102.164022$ | 13 |
| ค่าเข้าชม | ไม่เสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชม | 8 |
| สิ่งอำนวยความสะดวก | มีที่จอดรถกว้างขวางภายในบริเวณวัด | 10 |
6.0 คู่มือการเดินทางอย่างละเอียด (Comprehensive Travel Logistics)
การเดินทางไปยังวัดมังกรบุปผารามสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งจากกรุงเทพมหานครและจากภูมิภาคอื่นๆ
6.1 การเดินทางจากกรุงเทพมหานคร
- รถยนต์ส่วนตัว (เส้นทางยอดนิยม):
- เส้นทางที่ 1 (ผ่านบ้านบึง-แกลง): เป็นเส้นทางที่รวดเร็วที่สุด 14 ใช้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์) มุ่งหน้าชลบุรี จากนั้นใช้ทางแยกซ้ายออกทางออก อ.บ้านบึง (เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 344) ขับตามทางหลวง 344 ผ่าน อ.บ้านบึง, อ.หนองใหญ่, อ.วังจันทร์ จนไปบรรจบกับถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ที่ อ.แกลง จ.ระยอง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขุมวิท มุ่งหน้า จ.จันทบุรี ขับตรงไปเรื่อยๆ วัดจะอยู่ริมถนนสุขุมวิทด้านซ้ายมือ ก่อนถึงทางเข้าน้ำตกพลิ้ว 14
- เส้นทางที่ 2 (ผ่านสุขุมวิท/บูรพาวิถี): 16 ใช้ทางด่วนบูรพาวิถี (บางนา-ตราด) หรือ มอเตอร์เวย์ (สาย 7) มุ่งหน้าชลบุรี แล้วใช้ถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ตลอดสาย ผ่านพัทยา, สัตหีบ, ระยอง จนถึงจันทบุรี เส้นทางนี้จะผ่านเขตชุมชนและตัวเมืองมากกว่า อาจใช้เวลาเดินทางนานกว่าเล็กน้อย
- รถโดยสารสาธารณะ:
- สามารถขึ้นรถทัวร์, รถมินิบัส, หรือรถตู้ สายกรุงเทพฯ-จันทบุรี หรือ กรุงเทพฯ-ตราด ได้จากสถานีขนส่งผู้โดยสารเอกมัย 17 หรือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือ หมอชิต 2 18
- บริษัทที่ให้บริการมีหลายแห่ง เช่น บริษัท เชิดชัยทัวร์ จำกัด 18 หรือ Kohchang Bangkok Transport 19
- วิธีการลงรถ: เนื่องจากวัดตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิทสายหลัก 8 นักท่องเที่ยวสามารถแจ้งพนักงานขับรถให้จอดที่ “วัดมังกรบุปผาราม” หรือ “วัดเล่งฮัวยี่” ได้เลย โดยวัดจะอยู่ก่อนถึงคิวรถสองแถวเพื่อเข้าน้ำตกพลิ้ว
6.2 การเดินทางจากภาคอีสาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
การเดินทางจากภาคอีสานมายังจันทบุรีมีความแตกต่างกันในแต่ละจังหวัดต้นทาง
- จาก จ.นครราชสีมา (โคราช):
- รถยนต์ส่วนตัว (เส้นทางแนะนำ): 21 เส้นทางที่สะดวกและไม่ไกลอ้อมคือการใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (โคราช-ปักธงชัย-กบินทร์บุรี) ขับผ่าน อ.ปราจีนบุรี จากนั้นเลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 317 มุ่งหน้า จ.สระแก้ว ผ่าน อ.วังน้ำเย็น และเข้าสู่ จ.จันทบุรี 21 เส้นทางนี้ส่วนใหญ่เป็นถนน 4 เลน และสะดวกกว่าการขับอ้อมเข้ากรุงเทพฯ
- รถโดยสารสาธารณะ (มีรถสายตรง): 22 มีบริการรถทัวร์ปรับอากาศสาย 340 (นครราชสีมา-จันทบุรี) ออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งใหม่ (บขส. 2) หลายเที่ยวต่อวัน 22
- จาก จ.ขอนแก่น:
- รถโดยสารสาธารณะ (ต้องต่อรถ):
- จากการตรวจสอบเส้นทาง ไม่มีรถโดยสารสายตรง จากขอนแก่นมายังจันทบุรี 23
- ขั้นตอนการเดินทาง: ผู้เดินทางต้องนั่งรถทัวร์สาย ขอนแก่น-กรุงเทพฯ มาลงที่สถานีขนส่งหมอชิต 23 จากนั้น จึงเดินข้ามมาที่อาคารผู้โดยสารรถตู้ หรืออาคารผู้โดยสารภาคตะวันออก เพื่อต่อรถสาย กรุงเทพฯ-จันทบุรี (ตามวิธีในข้อ 6.1)
- ระยะเวลา: เป็นการเดินทางที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน คาดว่าไม่ต่ำกว่า 11-12 ชั่วโมง (รวมเวลารอรถ) 23
- จาก จ.อุบลราชธานี:
- รถโดยสารสาธารณะ: เช่นเดียวกับขอนแก่น แม้อาจมีผู้ให้บริการบางรายที่วิ่งสายตรง 24 แต่เพื่อความแน่นอนและมีรอบรถให้เลือกมากกว่า แนะนำให้ใช้เส้นทาง อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ (หมอชิต) แล้วจึงต่อรถไปยัง จ.จันทบุรี
6.3 การเดินทางภายใน จ.จันทบุรี (จาก บขส. จันทบุรี ไปยังวัด)
สำหรับผู้ที่เดินทางมาถึงสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.จันทบุรี (ในตัวเมือง) วัดจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 16 กิโลเมตร 8
- วิธีที่ 1: รถสองแถว (ประจำทาง): 26 จาก บขส. ให้เดินทางไปยังคิวรถสองแถวบริเวณตลาดน้ำพุ (สามารถใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือรถโดยสารท้องถิ่นมาที่ตลาดน้ำพุได้) จากนั้นขึ้นรถสองแถวสีฟ้าสาย “จันทบุรี-น้ำตกพลิ้ว” 26 และแจ้งคนขับว่าลงที่ “วัดมังกร” (วัดจะถึงก่อนน้ำตก)
- วิธีที่ 2: บริการเรียกรถ (Grab): จังหวัดจันทบุรีมีบริการ Grab (JustGrab) 28 นักท่องเที่ยวสามารถใช้แอปพลิเคชันเรียกรถจาก บขส. ให้ไปส่งที่วัดได้โดยตรง
- วิธีที่ 3: เหมารถสองแถว: หากมาเป็นกลุ่ม การเหมารถสองแถวจาก บขส. หรือจากตลาดน้ำพุ 27 ก็เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกในการเดินทาง
7.0 บทสรุป: ความสมบูรณ์แห่งศรัทธา ณ ปลายหางมังกร
วัดมังกรบุปผาราม (เล่งฮัวยี่) ไม่ได้เป็นเพียงวัดจีนที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมโมเสกอันวิจิตร หรือเป็นที่รู้จักในฐานะจุดแก้ปีชงยอดนิยมเท่านั้น แต่ที่นี่คือสถานที่แห่งการบรรลุซึ่ง “ความสำเร็จลุล่วง” 6 และเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการปิดท้ายเส้นทางการแสวงบุญ “ไตรภาคมังกร” ให้สมบูรณ์แบบ
การมาเยือน “หางมังกร” แห่งนี้ คือการได้สัมผัสทั้งความสง่างามทางศิลปะ 8 ความเงียบสงบภายในจิตใจ 9 และการได้เชื่อมโยงกับพลังแห่งปณิธานของบูรพาจารย์ที่รอคอยการสืบสานยาวนานนับศตวรรษ 7 ณ ดินแดนบูรพาทิศแห่งนี้



แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : วัดมังกรบุปผาราม (เล่งฮัวยี่) จันทบุรี: ตำนานหางมังกรแห่งบูรพาทิศ คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้มาเยือน