วัดปากน้ำแขมหนู จันทบุรี: ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม การเดินทาง และ 8 รีวิวจากผู้มาเยือน
ส่วนที่ 1: อัญมณีสีครามริมฝั่งอ่าว: บทนำสู่ความวิจิตรแห่งวัดปากน้ำแขมหนู
1.1 การเปิดเรื่อง: พุทธศิลป์ท้าทายไอเค็ม
ณ ริมชายฝั่งปากอ่าวของจังหวัดจันทบุรี ที่ซึ่งสายน้ำบรรจบกับท้องทะเล มีสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาอันน่าทึ่งแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านท้าทายไอเค็มจากท้องทะเลอย่างสง่างาม 1 นั่นคือ พระอุโบสถสีน้ำเงินขาวแห่ง วัดปากน้ำแขมหนู 2 ภาพของพระอุโบสถที่ส่องประกายสีครามสลับขาวภายใต้แสงอาทิตย์ ตัดกับสีเขียวของป่าชายเลนโดยรอบ ได้กลายเป็นภาพจำและแลนด์มาร์คสำคัญที่ดึงดูดนักเดินทางและเหล่าพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศ 4
วัดแห่งนี้ได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งใน “Unseen” ของเมืองจันท์ 3 โดยเป็นสถานที่ซึ่งหลอมรวมสามองค์ประกอบสำคัญไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ได้แก่ “ประวัติศาสตร์” ของชุมชนชาวประมง, “ศิลปะ” อันวิจิตรตระการตา และ “ความศรัทธา” อันแรงกล้าของชาวบ้าน 8 สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานสำหรับการประกอบพิธีกรรม แต่ยังเป็นหมุดหมายที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของจันทบุรีได้อย่างลึกซึ้ง 8
1.2 แก่นของเรื่อง: ความงามที่เกิดจากความจำเป็น
หัวใจและความโดดเด่นที่สุดของวัดปากน้ำแขมหนู คือพระอุโบสถสีน้ำเงินที่ไม่มีใครเหมือน 8 ทว่า ความงดงามตระการตานี้ แท้จริงแล้วถือกำเนิดขึ้นจาก “ความจำเป็น” ในการเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติ
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับทะเล 1 ทำให้โครงสร้างของโบสถ์หลังเก่าต้องเผชิญกับการกัดกร่อนของไอทะเลและน้ำเค็มจนผุกร่อนและชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว 1 ความท้าทายทางธรรมชาตินี้ ได้จุดประกายให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงวิศวกรรมที่เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาและแรงศรัทธา จนนำไปสู่การสร้างสรรค์พระอุโบสถหลังใหม่ที่ใช้ “เซรามิก” เป็นวัสดุหลักในการปกป้องโครงสร้าง 1
ดังนั้น ความวิจิตรตระการตาที่เราเห็นในปัจจุบัน จึงเป็น “ผลพลอยได้” อันน่าทึ่งจากการแก้ปัญหาทางวิศวกรรม เพื่อให้ศาสนสถานแห่งศรัทธานี้สามารถคงอยู่คู่ชุมชนริมทะเลได้อย่างยั่งยืน เรื่องราวของวัดปากน้ำแขมหนูจึงเป็นบทพิสูจน์ถึงความศรัทธาที่ปรับตัวและเอาชนะข้อจำกัด จนกลายเป็นผลงานพุทธศิลป์ชิ้นเอก “หนึ่งเดียวในโลก” 8
ส่วนที่ 2: กำเนิดโบสถ์ทนน้ำเค็ม: ประวัติศาสตร์และที่มาแห่งศรัทธา
2.1 จากโบสถ์เก่าสู่โบสถ์ใหม่: การต่อสู้กับการผุกร่อน
ประวัติของวัดปากน้ำแขมหนูเริ่มต้นขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) 1 โดยมีตำนานความเชื่อในหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ว่า ที่ดินผืนนี้มีความสำคัญต่อชะตาของเมือง และการสร้างวัด ณ จุดนี้จะช่วยปกป้องชุมชนจากภัยพิบัติ 8 พระอุโบสถหลังเก่าได้ถูกสร้างขึ้นในยุคแรกเริ่มเพื่อใช้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน
อย่างไรก็ตาม ด้วยที่ตั้งของวัดซึ่งอยู่ “ริมชายฝั่งปากอ่าว” 1 และ “ตั้งอยู่ติดกับทะเล” 1 ทำให้โครงสร้างของโบสถ์หลังเก่าต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ไอทะเลและความเค็มที่กัดกร่อนปูนและเหล็กเส้น จนโบสถ์หลังเก่า “เริ่มชำรุดทรุดโทรมมากขึ้น” และ “มีการผุกร่อนมาก” 1
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) เมื่อ “ทางวัดและชาวบ้านจึงมีมติร่วมกัน” ที่จะดำเนินการรื้อโบสถ์หลังเก่า และสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นทดแทน 1 นี่ไม่ใช่เพียงการตัดสินใจของทางวัด แต่เป็น “มติของชุมชน” ที่ต้องการเห็นศาสนสถานที่ยั่งยืน
2.2 ภูมิปัญญาแห่งศรัทธา: “เซรามิก” คือคำตอบ
โจทย์สำคัญในการสร้างโบสถ์หลังใหม่ คือการออกแบบที่ต้องทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายริมทะเล แทนที่จะซ่อมแซมแบบเดิมๆ ชุมชนได้เลือกใช้นวัตกรรมเพื่อ “แก้ปัญหา” ที่ต้นเหตุ
เพื่อความมั่นคงแข็งแรงและ “ป้องกันน้ำเค็มกัดกร่อนตลอดเวลา” 1 ทางวัดจึงตัดสินใจใช้ “เซรามิกที่มีความมันเงา คงทนแข็งแรง มาเคลือบชั้นปูนป้องกันอีกชั้นหนึ่ง” 1 นี่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่แสดงถึงความศรัทธาอันลึกซึ้งที่ต้องการให้ศาสนสถานแห่งนี้คงอยู่คู่ชุมชนอย่างถาวร การก่อสร้างนี้จึงเปรียบได้กับ “วิศวกรรมเชิงจิตวิญญาณ” ที่ผสานความทนทานเข้ากับความงาม
การเลือกใช้สีพื้นเพียงสองสี คือ “น้ำเงินและขาว” 1 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการอ้างอิงถึงความงามคลาสสิกของ “งานเซรามิกโบราณ” 1 หรือ “ภาชนะลายคราม” 4 ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับโลกตะวันออกอย่างลึกซึ้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือสถาปัตยกรรมที่ทั้งทนทานและงดงามแปลกตา 1 กลายเป็นโบสถ์เซรามิกที่ว่ากันว่าทนน้ำเค็มและกันสนิมได้หนึ่งเดียวในโลก 9
ส่วนที่ 3: ถอดรหัสความงาม: สถาปัตยกรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องห้ามพลาด
การมาเยือนวัดปากน้ำแขมหนู คือการเดินทางเข้าสู่โลกแห่งรายละเอียดทางศิลปะที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งภายนอกและภายในพระอุโบสถ
3.1 สถาปัตยกรรมภายนอก: ความอลังการแห่งลายคราม
พระอุโบสถหลังใหม่นี้โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุที่คัดสรรมาอย่างดี ไม่ใช่เพียงเซรามิกธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่าง “เซรามิกนำเข้าจากต่างประเทศ” และ “หินอ่อน” 8 ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างที่งดงามและแข็งแกร่ง
จุดเด่นภายนอกที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด คือ:
- บันไดพญานาค: บริเวณ “มุมด้านหน้าของโบสถ์มีบันไดพญานาคห้าเศียร” 1 ซึ่งมี “ลำตัวทอดยาวไปจนสุดทางบันได” 1 เป็นสัญลักษณ์คลาสสิกของสะพานที่ทอดข้ามวัฏสงสารไปสู่แดนพุทธภาวะ
- ลวดลายเซรามิก: การประดับประดาผนังภายนอกด้วยลวดลายเซรามิกสีน้ำเงิน-ขาว ที่มีความวิจิตรตระการตา 8 คล้ายกับการนำเครื่องลายครามขนาดยักษ์มาประกอบขึ้นเป็นพระอุโบสถทั้งหลัง
3.2 ศิลปกรรมภายใน: ความวิจิตรที่ซ่อนเร้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในพระอุโบสถ ความวิจิตรตระการตายังคงดำเนินต่อไป แต่เปลี่ยนจากความอลังการภายนอกมาเป็นความละเอียดอ่อนของงานศิลป์ที่ซ่อนเร้นอยู่
- องค์พระประธาน: ภายในโบสถ์ประดิษฐาน “พระพุทธชินราชองค์จำลอง” 1 เป็นองค์พระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างให้ความเคารพสักการะ
- บานประตูและหน้าต่าง:
- ด้านใน: “ประตูโบสถ์ไม้ทั้ง 4 บาน มีการแกะสลักภาพนูนต่ำเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติพระพุทธเจ้า” 1 แสดงถึงฝีมือช่างแกะสลักชั้นครู
- ด้านนอก: “บานประตูและหน้าต่างมีการลงลายมุก ภาพเทพทวารบาล” 1 ซึ่งเป็นงานประดับมุกที่ละเอียดงดงาม
- จิตรกรรมฝาผนังทนเค็ม (The “Salt-Proof” Murals):นี่คืออีกหนึ่งอัจฉริยภาพในการออกแบบที่หลายคนอาจมองข้าม โดยปกติแล้ว จิตรกรรมฝาผนังแบบไทยประเพณีที่วาดบนปูน จะไม่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศชื้นและเค็มใกล้ทะเลได้เลย แต่ที่วัดปากน้ำแขมหนู ช่างศิลป์ได้แก้ปัญหานี้อย่างถาวร”พื้นผนังด้านในพระอุโบสถประดับภาพลงสีในพื้นเซรามิก” 1 นั่นคือ แทนที่จะวาดภาพลงบนปูนฉาบ ช่างได้วาดภาพเรื่องราว “วรรณคดีชาดกและพระมหาชนก” 1 ลงบนแผ่นเซรามิกโดยตรง แล้วจึงนำมาประดับเป็นผนังวิธีการนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสอดคล้องของวัสดุที่ใช้ทั้งภายนอกและภายใน (Thematic Material Consistency) แต่ยังทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้มีความคงทน “ทนเค็ม” ได้เช่นเดียวกับตัวโบสถ์ด้านนอก นับเป็นนวัตกรรมที่รักษาไว้ซึ่งมรดกทางศิลปะได้อย่างน่าทึ่ง
3.3 สิ่งศักดิ์สิทธิ์และกิจกรรมอื่นในวัด
นอกเหนือจากพระอุโบสถสีน้ำเงินแล้ว ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
- ชั้นล่างของอุโบสถ: บริเวณชั้นล่างของพระอุโบสถ 4 เป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญอีก 2 องค์ คือ “หลวงพ่อองค์ดำ” 9 และ “พระแก้วมรกต” (องค์จำลอง) 4
- หลวงพ่อโต: สักการะ “หลวงพ่อโตองค์ใหญ่” ซึ่งถือเป็นพระประธานคู่บ้านคู่เมืองของวัดแขมหนู 8
- กิจกรรมเสริมมงคล:
- การเจิมตะเกียง: นักท่องเที่ยวสามารถร่วมพิธี “เจิมตะเกียง” ซึ่งเชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งโชคดีและความสำเร็จ 8
- การปล่อยปลาทะเล: ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ติดปากน้ำ 9 และสะท้อน “วิถีชีวิตชาวประมง” 12 นักท่องเที่ยวจึงสามารถทำบุญด้วยการ “ซื้อปลาทะเลปล่อยได้ด้วย” 9 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศโดยรอบ
ส่วนที่ 4: 8 ประสบการณ์จากผู้มาเยือน (สังเคราะห์ 8 รีวิวตามโจทย์)
เพื่อรวบรวมประสบการณ์จริงของผู้ที่เคยมาเยือนวัดปากน้ำแขมหนู นี่คือ 8 เสียงสะท้อนที่สรุปมาจากรีวิวของนักท่องเที่ยว 6 ซึ่งสะท้อนแง่มุมต่างๆ ของวัดแห่งนี้
1. รีวิวที่ 1: “ความประทับใจแรก…สวยจนต้องหยุดมอง”
“ต้องบอกว่าสวยมากจริงๆ ขนาดขับรถมายังไม่ถึงวัด เห็นหลังคาวัดแต่ไกลๆ เมื่อ 2 กิโลก่อน ก็ยังต้องร้องว้าว 9 พอมาถึง ยิ่งตื่นตาตื่นใจกับโบสถ์สีน้ำเงินขาวที่ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า 8 เป็นความอลังการที่หาชมที่ไหนไม่ได้”
2. รีวิวที่ 2: “สวรรค์ของคนรักการถ่ายภาพ”
“ใครเป็นสายถ่ายรูปต้องมาเลย กิจกรรมแนะนำคือ ‘ถ่ายรูป’ 9 มุมไหนก็สวย โดยเฉพาะตัวโบสถ์เซรามิกสีน้ำเงิน-ขาว ที่เป็น ‘เอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร’ 13 ถือเป็นจุดหมายที่ตอบโจทย์คนชอบ ‘เก็บภาพประทับใจ’ กลับบ้านจริงๆ 8”
3. รีวิวที่ 3: “อิ่มบุญ…อิ่มใจ ไหว้พระศักดิ์สิทธิ์”
“สำหรับ ‘สายบุญ’ 8 ที่นี่คือจุดหมายที่ห้ามพลาด กิจกรรมหลักคือ ‘ไหว้พระ’ 9 เราตั้งใจมาสักการะ ‘พระพุทธชินราชจำลอง’ 4 ที่เป็นองค์พระประธานในโบสถ์ และได้ลงไปไหว้ ‘หลวงพ่อองค์ดำ’ 9 ที่ชั้นล่างด้วย อิ่มบุญอิ่มใจมาก”
4. รีวิวที่ 4: “ทึ่งในรายละเอียด…ศิลปะที่ต้องชมใกล้ๆ”
“ตอนแรกคิดว่าจะมีแค่โบสถ์สีน้ำเงิน แต่พอได้เดินดูใกล้ๆ ถึงกับทึ่งในรายละเอียด ทั้ง ‘บานประตูและหน้าต่างลายมุก’ 1 ‘ภาพเทพทวารบาล’ 1 ที่สวยงาม และที่ชอบมากคือ ‘จิตรกรรมกระเบื้องลายคราม’ 9 ที่ผนังด้านในโบสถ์ มันวิจิตรและไม่เหมือนที่อื่นเลย”
5. รีวิวที่ 5: “สงบ…แม้คนจะเยอะ”
“วัดนี้คนมาเที่ยวเยอะนะ ถือว่า ‘ครึกครื้น’ ทีเดียว 9 แต่แปลกมากที่พอเราเดินเข้าไปไหว้พระ กลับ ‘รับรู้ถึงความสงบทางจิตใจ’ 9 อาจเพราะวัดอยู่ติดริมน้ำ ทำให้มี ‘บรรยากาศดีมีลมพัดผ่านเบาๆตลอดเวลา’ 9 มันเลยรู้สึกผ่อนคลาย”
6. รีวิวที่ 6: “สัมผัสวิถีชุมชน…ตลาดและสายน้ำ”
“การมาที่นี่ได้อะไรมากกว่าแค่ไหว้พระ เพราะเราได้เห็น ‘วิถีชีวิตเรียบง่ายของชุมชน’ 8 ที่รายล้อมวัด หลังวัดมี ‘ตลาดเล็กๆที่จัดให้ชาวบ้านมาขายของ’ 9 ให้ได้อุดหนุน แถมยังมีกิจกรรม ‘ปล่อยปลาทะเล’ 9 ให้ทำบุญด้วย”
7. รีวิวที่ 7: “สะดวกสบาย…คนวางแผนต้องชอบ”
“ขอชมเรื่องการจัดการ ที่นี่เหมาะกับการมาเที่ยวมาก ‘ลานจอดรถสะดวกกว้างขวาง’ 9 แม้จะเป็นช่วงวันหยุดที่คนเยอะ 9 ก็ยังมีคนคอย ‘โบกที่จอดเยอะมาก (จอดฟรีด้วย)’ 9 ทำให้การมาเที่ยวที่นี่เป็นเรื่องง่าย ไม่หงุดหงิดเรื่องที่จอดรถ”
8. รีวิวที่ 8: “เที่ยวต่อ…ไม่หยุดแค่วัดเดียว”
“ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับการเที่ยวโซนนี้ เพราะวัดตั้งอยู่ใกล้ ‘สะพานเฉลิมพระเกียรติปากน้ำแขมหนู’ 9 และ ‘จุดชมวิวปากน้ำแขมหนู’ 5 เลย เราไหว้พระเสร็จก็ขับรถไปถ่ายรูปบนสะพานและจุดชมวิวต่อได้เลย เป็นทริปที่เชื่อมโยงกันพอดี”
ส่วนที่ 5: คู่มือฉบับสมบูรณ์: การวางแผนและการเดินทางไปวัดปากน้ำแขมหนู
เพื่อให้การเดินทางไปยังวัดปากน้ำแขมหนูเป็นไปอย่างราบรื่น ข้อมูลต่อไปนี้คือสิ่งจำเป็นที่นักท่องเที่ยวต้องทราบ
5.1 ข้อมูลสำคัญ (Essential Information)
การวางแผนที่ดีเริ่มต้นจากข้อมูลที่แม่นยำ โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่และเวลาทำการ
| รายการ | ข้อมูล | แหล่งอ้างอิง |
| ที่อยู่ (Address) | 4002 (ถนน รย.4036), ตำบลตะกาดเง้า อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี 22120 | 1 |
| เบอร์โทรศัพท์ (Phone) | 099 269 0758 | 4 |
| เวลาทำการ (บริเวณวัด) | 05:00 – 20:00 น. | 2 |
| เวลาเข้าชมพระอุโบสถ (Ubosot Hours) | 08:00 – 16:00 น. (โดยประมาณ) | 10 |
ข้อควรทราบเกี่ยวกับเวลาทำการ:
ข้อมูลเวลาทำการอาจดูขัดแย้งกัน แต่สามารถอธิบายได้ว่า เวลา 05:00 – 20:00 น. คือเวลาเปิด-ปิดทั่วไปของ “บริเวณวัด” สำหรับพุทธศาสนิกชนและชาวบ้าน 2 ในขณะที่เวลา 08:00 – 16:00 น. 10 คือเวลาที่ “พระอุโบสถสีน้ำเงิน” จะเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชมภายใน ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงหลังเวลา 16:00 น. อาจยังสามารถเดินชมรอบนอกและบริเวณวัดได้ แต่จะไม่สามารถเข้าชมความงามภายในพระอุโบสถได้
5.2 การเดินทางจากกรุงเทพมหานคร (Bangkok Guide)
วิธีที่ 1: รถยนต์ส่วนตัว (เส้นทางแนะนำ)
นี่คือวิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด เนื่องจากวัดปากน้ำแขมหนูไม่ได้ตั้งอยู่ในตัวเมือง
- เส้นทาง: ใช้ “ทางมอเตอร์เวย์” (ทางหลวงหมายเลข 7) มุ่งหน้าจังหวัดจันทบุรี 12
- ระยะเวลา: ประมาณ 3 ชั่วโมง 12 ถึง 4 ชั่วโมง 17 ขึ้นอยู่กับการจราจร
- ข้อดี: สะดวกที่สุดในการบริหารเวลา และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไปยัง “ช่วงสุดท้าย” (Last Mile) จากตัวเมืองไปยังวัด
วิธีที่ 2: รถโดยสารสาธารณะ (สำหรับนักเดินทาง)
การเดินทางด้วยรถสาธารณะจำเป็นต้องวางแผน 2 ขั้นตอน
- ขั้นที่ 1: เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยัง ตัวเมืองจันทบุรี
- ประเภทรถ: รถทัวร์ หรือ มินิบัส/รถตู้ 18
- จุดขึ้นรถ (กทม.): สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (เอกมัย) 19 หรือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือ หมอชิต 2 18
- ราคา: ประมาณ 220 – 248 บาท 18
- บริษัท: เช่น เชิดชัยทัวร์ 21, Kohchang Bangkok Transport 18
- จุดลงรถ (จันทบุรี): สถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.จันทบุรี 17
- ขั้นที่ 2: เดินทางจากตัวเมืองจันทบุรี ไปยัง วัดปากน้ำแขมหนู (The “Last Mile” Problem)นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ต้องวางแผนล่วงหน้า รถทัวร์และรถตู้จะจอดที่สถานีขนส่งใน “อำเภอเมือง” 17 แต่วัดปากน้ำแขมหนูตั้งอยู่ใน “อำเภอท่าใหม่” 1 ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร และระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ (เช่น รถสองแถว) มีน้อยมากหรือแทบไม่มีไปยังวัดโดยตรง 22
- ทางออก (Solutions):
- เช่ามอเตอร์ไซค์: เป็นวิธีที่ประหยัดและคล่องตัวที่สุด สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ได้จากร้านในตัวเมืองจันทบุรี ราคาประมาณ 250 – 350 บาทต่อวัน 23 เพื่อขับไปวัดและเที่ยวสถานที่ใกล้เคียงต่อได้
- เหมารถรับจ้าง: สามารถเหมารถรับจ้างจากสถานีขนส่งได้ 22 หรือใช้บริการเหมารถตู้พร้อมคนขับ 26 ซึ่งอาจมีราคาสูง (เริ่มต้นประมาณ 2,000 บาท) 26 เหมาะสำหรับผู้ที่มาเป็นกลุ่มใหญ่
- ทางออก (Solutions):
5.3 การเดินทางจากภาคอีสาน (Isaan Guide)
การเดินทางจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมายังจันทบุรี มีหลายทางเลือกขึ้นอยู่กับจังหวัดต้นทาง
เส้นทางที่ 1: จาก นครราชสีมา (โคราช)
- ตัวเลือก A: รถทัวร์สายตรง (สะดวก แต่ควรตรวจสอบ)
- มีบริการรถทัวร์สายตรง “ราชสีมา-จันทบุรี” 28 ซึ่งให้บริการโดย “เชิดชัยทัวร์” 29
- ข้อควรพิจารณา: มีเสียงวิจารณ์จากนักเดินทางว่ารถทัวร์สายตรงนี้ “บริการไม่ได้เรื่อง จอดรับคนตลอดทางทั้งที่เป็นรถ ป.1” 28
- ตัวเลือก B: ต่อรถที่กรุงเทพฯ (ทางเลือกที่แนะนำ)
- นักเดินทางบางท่านแนะนำว่า “มาต่อรถที่หมอชิตดีกว่าค่ะ” 28
- เส้นทาง: เดินทางจากโคราชมาลงที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 30 จากนั้นปฏิบัติตามคู่มือการเดินทางจากกรุงเทพฯ (ข้อ 5.2) แม้จะใช้เวลาเดินทางนานกว่า แต่อาจได้รับบริการที่ดีกว่า
เส้นทางที่ 2: จาก ขอนแก่น และจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน
- ตัวเลือก A: รถบัส (ผ่านกรุงเทพฯ)
- ข้อมูลระบุว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการเดินทางโดย “รถบัส ผ่านทาง กรุงเทพมหานคร” 31
- เส้นทาง: ขอนแก่น -> สถานีขนส่งหมอชิต (กทม.) -> สถานีขนส่ง (เอกมัย หรือ หมอชิต) -> จันทบุรี 31
- ระยะเวลา: เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก (ประมาณ 11.5 ชั่วโมง) 31
- ตัวเลือก B: บิน + ต่อรถ (เร็วที่สุด)
- เส้นทาง: บินจาก “ท่าอากาศยานขอนแก่น (KKC) ไป ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK)” 31
- จากนั้น: ต่อรถบัสหรือรถตู้จากสถานีขนส่งที่สุวรรณภูมิ 19 หรือเดินทางไปต่อรถที่สถานีขนส่งเอกมัย 19 เพื่อไปยังจันทบุรี
- ตัวเลือก C: ขับรถยนต์ส่วนตัว
- หากขับรถจากขอนแก่นมาจันทบุรี ระยะทางประมาณ 515 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 7 ชั่วโมง 44 นาที 31
ส่วนที่ 6: บทสรุป: แลนด์มาร์คแห่งศรัทธาและภูมิปัญญา
วัดปากน้ำแขมหนู ไม่ได้เป็นเพียง “โบสถ์สีน้ำเงิน” ที่สวยงามสำหรับถ่ายภาพลงโซเชียลมีเดีย แต่ที่นี่คืออนุสรณ์ที่มีชีวิต คือ “แลนด์มาร์คแห่งศรัทธา” ที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้และชัยชนะของชุมชนที่มีต่ออุปสรรคทางธรรมชาติ 1
ความงามสง่าของเซรามิกสีครามที่เคลือบคลุมพระอุโบสถไว้ คือสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาในการแก้ปัญหา 1 และความมุ่งมั่นของชาวบ้านที่ต้องการรักษาสถานที่อันเป็นศูนย์รวมจิตใจนี้ไว้ให้คงอยู่คู่ลูกหลาน 1 การมาเยือนวัดปากน้ำแขมหนูจึงเป็นการเดินทางที่ครบถ้วน ทั้งการชื่นชมศิลปะอันวิจิตร 8 การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล 4 และการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การปรับตัวของชุมชนที่เปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธา 8 นับเป็นจุดหมายที่ “ต้องแวะให้ได้” 8 อย่างแท้จริงสำหรับผู้มาเยือนจังหวัดจันทบุรี



แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : วัดปากน้ำแขมหนู จันทบุรี: ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม การเดินทาง และ 8 รีวิวจากผู้มาเยือน