อ่าวคุ้งกระเบน จันทบุรี: คู่มือฉบับสมบูรณ์สู่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต จากรอยพระบาทสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ชวนเพื่อนเที่ยวได้เลยจ้า

อ่าวคุ้งกระเบน – มากกว่าป่าชายเลน คือ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต”

ณ ชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยในจังหวัดจันทบุรี อ่าวคุ้งกระเบนในปัจจุบันต้อนรับนักเดินทางด้วยภาพของความอุดมสมบูรณ์ สะพานไม้ทอดยาวลัดเลาะผ่านผืนป่าโกงกางที่หนาแน่น เสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่ตื่นตาตื่นใจหน้าตู้ปลาฉลาม และความเงียบสงบของอ่าวที่สะท้อนแสงตะวันยามเย็น แต่หากย้อนเวลากลับไปเพียงไม่กี่ทศวรรษ พื้นที่แห่งนี้เคยประสบปัญหาวิกฤตความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า “สถานที่แห่งนี้ฟื้นตัวกลับมาจากจุดนั้นได้อย่างไร?”

รายงานฉบับสมบูรณ์นี้จะพาไปสำรวจ “อ่าวคุ้งกระเบน” ในมิติที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่นี่คือผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมของ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” การมาเยือนที่นี่จึงเปรียบได้กับการเดินทางเพื่อเรียนรู้โมเดลการพัฒนามนุษย์และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน รายงานนี้ได้สังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทุกมิติ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์และที่มาของโครงการหลวง สู่การเจาะลึกทุกกิจกรรมและไฮไลท์เด่น การรวบรวมประสบการณ์จริงจาก 6 รีวิวของนักท่องเที่ยว และปิดท้ายด้วยคู่มือการเดินทางและข้อมูลปฏิบัติการที่ละเอียดที่สุด เพื่อให้การเดินทางของคุณสู่อ่าวคุ้งกระเบนเป็นการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบทั้งในแง่ของความสุนทรีย์และองค์ความรู้

ที่พักเด็ดใกล้อ่าวคุ้งกระเบน จันทบุรี คลิ๊ก

จากวิกฤตชายฝั่ง สู่ “ต้นแบบ” การพัฒนาตามรอยพระราชดำริ

แก่นแท้ของอ่าวคุ้งกระเบนในปัจจุบัน คือ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่เปลี่ยนแปลงพื้นที่นี้ไปตลอดกาล

จุดเริ่มต้นแห่งพระมหากรุณาธิคุณ

โครงการนี้เริ่มต้นดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 โดยมีเป้าหมายหลักในการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สิ่งที่การวิเคราะห์ข้อมูลนี้ค้นพบคือ โครงการนี้ไม่ได้เริ่มต้นจาก “การอนุรักษ์” เพียงอย่างเดียว แต่มีจุดมุ่งหมายหลักเป็นการแทรกแซงทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio-Economic Intervention) เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง

วัตถุประสงค์ในระยะแรกเริ่มเน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงการ “ยกระดับความเป็นอยู่ อาชีพ ของราษฎรที่ยากจน รอบอ่างคุ้งกระเบน” และ “พัฒนาอาชีพประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง” นี่แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการพัฒนาที่ยั่งยืนที่แท้จริง คือการแก้ปัญหา “ปากท้อง” และสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่ชุมชนก่อน เมื่อชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงจะเกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขาต้องพึ่งพิง

ภารกิจ 5 ประการ: หัวใจของการเป็น “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต”

ความสำเร็จของศูนย์ฯ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการวางวัตถุประสงค์เฉพาะ 5 ประการที่ทำงานสอดประสานกัน ซึ่งอธิบายว่าทำไมที่นี่จึงถูกเรียกว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต”:

  1. การเป็น “ห้องทดลอง” (การศึกษา ทดลอง วิจัย): เพื่อค้นหาแนวทางและวิธีการพัฒนาที่เหมาะสมกับภูมิสังคมของพื้นที่ชายฝั่ง
  2. การเป็น “ที่พึ่ง” (ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ): บูรณาการการทำงานครบวงจร ทั้งด้านเกษตร อาชีพ และสวัสดิการสังคม
  3. การเป็น “โรงเรียน” (การขยายผลองค์ความรู้): ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ประชาชนในหมู่บ้านรอบศูนย์ฯ เพื่อการพึ่งตนเองได้
  4. การเป็น “พิพิธภัณฑ์” (การท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้): พัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจในศาสตร์การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ
  5. การเป็น “กระบวนการ” (การอนุรักษ์โดยมีส่วนร่วม): ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน

ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง แหล่งท่องเที่ยวที่งดงามที่เราเห็นในปัจจุบัน (เช่น สะพานป่าชายเลน และอควาเรียม) ถือเป็น “ผลลัพธ์ปลายทาง” ที่เกิดจากความสำเร็จของภารกิจ 4 ข้อแรก กิจกรรมการท่องเที่ยว (ภารกิจที่ 4) ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ “ขยายผลองค์ความรู้” (ภารกิจที่ 3) ที่ได้มาจาก “การวิจัย” (ภารกิจที่ 1) นั่นเอง


10 ที่พักสวยๆ ใกล้อ่าวคุ้งกระเบน คลิ๊ก

จากความร่วมมือสู่ความสำเร็จ

โครงการนี้ยังได้รับความร่วมมือช่วยเหลือทางวิชาการจากรัฐบาลแคนาดา ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538 สะท้อนถึงความสำคัญของโครงการในระดับนานาชาติ ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการอนุรักษ์ป่าชายเลนที่สมบูรณ์ การส่งเสริมให้ราษฎรปลูกป่าเพิ่ม , การอนุรักษ์หญ้าทะเลซึ่งเป็นแหล่งอาหารสัตว์น้ำ , และการสร้างที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลบริเวณหน้าอ่าว

สำรวจจุดเด่นและกิจกรรมไฮไลท์: สัมผัสหัวใจแห่งการอนุรักษ์ที่อ่าวคุ้งกระเบน

สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป อ่าวคุ้งกระเบนมีสิ่งที่น่าสนใจและกิจกรรมเด่นแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักที่เชื่อมโยงกันอย่างลงตัว

โซนที่ 1: เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน (The Active Experience)

นี่คือโซนกิจกรรมกลางแจ้งที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับระบบนิเวศที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างใกล้ชิด

  • รายละเอียดเส้นทาง: ไฮไลท์หลักคือสะพานไม้ทอดยาว 1,600 เมตร ที่พานักท่องเที่ยวเดินลัดเลาะเข้าไปในใจกลางของระบบนิเวศป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์
  • สิ่งที่น่าสนใจระหว่างทาง: ตลอดเส้นทาง นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้และสังเกตสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ทั้งพันธุ์ไม้ป่าชายเลน เช่น โกงกางและแสม ไปจนถึงสัตว์ในระบบนิเวศ เช่น ปูแสม ปลาตีน หอย และนกนานาชนิด
  • จุดถ่ายภาพยอดนิยม: ตลอดเส้นทางมีจุดถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สะพานแขวน” และศาลาชมวิวบริเวณปากอ่าว ซึ่งเป็นมุมมหาชนที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ
  • กิจกรรมไฮไลท์ (พายเรือคายัค):การพายเรือคายัค 5 ถือเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งกว่าการเดินบนสะพาน กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสระบบนิเวศในระดับสายตา ได้พายเรือเข้าไปในร่องน้ำ ลอดอุโมงค์โกงกาง และเห็นวิถีชีวิตสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด
    • ข้อมูลเชิงปฏิบัติการ: ค่าบริการพายเรือคายัคอยู่ที่ประมาณ 100 บาทต่อชั่วโมง
    • ข้อควรระวังสำคัญ: กิจกรรมพายเรือคายัคไม่ได้มีให้บริการตลอดทั้งปี โดยปกติจะเปิดให้บริการเฉพาะในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม และยังขึ้นอยู่กับระดับน้ำในอ่าวในแต่ละวันด้วย นี่คือข้อมูลสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องตรวจสอบและวางแผนล่วงหน้า

โซนที่ 2: สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา (The Educational Experience)

ตั้งอยู่บริเวณชายหาดแหลมเสด็จ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าป่าชายเลน ที่นี่คือส่วนต่อขยายทางการศึกษาของศูนย์ฯ

  • การจัดการความคาดหวัง: สิ่งสำคัญที่นักท่องเที่ยวควรทราบคือ ที่นี่เป็น “อควาเรียมขนาดเล็ก” หรือ “ขนาดไม่ใหญ่มาก” 7 และที่สำคัญที่สุดคือ “เปิดให้เข้าชมฟรี” ดังนั้น คุณค่าของสถานที่แห่งนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ตระการตาแบบอควาเรียมเชิงพาณิชย์ แต่เป็นการมอบองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศทางทะเลในท้องถิ่น
  • ไฮไลท์เด่น (The “Must-See”):
    1. อุโมงค์ปลา (Fish Tunnel): แม้จะเป็นอุโมงค์ขนาดเล็ก แต่ก็เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมปลาทะเลหลากหลายชนิดที่ว่ายอยู่รอบตัว รวมถึงปลากระเบน
    2. ตู้โชว์ปลาฉลาม (Shark Tank): ถือเป็นไฮไลท์ที่ดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ได้มากที่สุด
    3. ปลาเศรษฐกิจและปลาหายาก: จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่น่าสนใจ เช่น ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่, ปลาสาก, กุ้งมังกร และตู้ปลาในแนวปะการังหลากสีสัน
    4. นิทรรศการความรู้: นอกจากการแสดงสัตว์น้ำ ที่นี่ยังมีนิทรรศการให้ความรู้เรื่องเครื่องมือประมงของไทย และกฎหมายเกี่ยวกับการทำประมงชายฝั่ง ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของศูนย์ฯ ในการพัฒนาอาชีพประมง
  • ข้อมูลเชิงปฏิบัติการ:
    • เวลาเปิด-ปิด: ให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 น. – 16.30 น.
    • ค่าเข้าชม: ฟรี



6 รีวิวจากนักเดินทาง: เสียงสะท้อนประสบการณ์จริง ณ อ่าวคุ้งกระเบน

การสังเคราะห์ข้อมูลรีวิวจากนักท่องเที่ยวที่เคยไปเยือนจริง สามารถสรุปเป็น 6 มุมมองประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  1. รีวิวจาก “ครอบครัวนักสำรวจ” (เน้นอควาเรียม และการเรียนรู้ของลูก):”พาลูกๆ ไปดูปลาที่อควาเรียม ลูกๆ ตื่นเต้นกับตู้ปลาฉลาม และอุโมงค์ปลา มากค่ะ ที่สำคัญที่สุดคือเข้าฟรีทั้งครอบครัว มีที่จอดรถสะดวกสบาย ดูปลาเสร็จก็ข้ามฝั่งไปเดินเล่นศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนต่อ ได้ทั้งความสนุกและความรู้กลับบ้านแบบคุ้มค่า”
  2. รีวิวจาก “สายชิล Slow-Life” (เน้นบรรยากาศ การพักผ่อน):”ใครที่กำลังเบื่อทะเลและอยากหามุมสงบ แนะนำที่นี่เลย มาเดินเล่นสโลว์ไลฟ์บนสะพานไม้ที่ยาว 1,600 เมตร บรรยากาศดีมาก ข้างในร่มรื่น ไม่ร้อนเลย 6 มีลมพัดเย็นสบายตลอด เป็นการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่แท้จริง”
  3. รีวิวจาก “นักพายคายัค” (เน้นกิจกรรมและธรรมชาติ):”การเดินบนสะพานก็สวยแล้ว แต่ไฮไลท์ที่อยากแนะนำจริงๆ คือการพายเรือคายัค เราจะได้เห็นป่าโกงกางในมุมที่ต่างออกไป ได้เห็นปลาตีน ปูแสม ในระยะที่ใกล้มากๆ ค่าบริการแค่ชั่วโมงละ 100 บาท คุ้มค่าสุดๆ แต่ต้องเช็คให้ดีนะครับ เขาเปิดให้บริการเป็นช่วงๆ (พ.ย.-มี.ค.) ขึ้นอยู่กับระดับน้ำด้วย”
  4. รีวิวจาก “สายถ่ายภาพ” (เน้นมุมมองและแสง):”ที่นี่เป็นสถานที่ที่ถ่ายรูปสวยมาก 5 โดยเฉพาะมุมสะพานแขวนและจุดชมวิวปากอ่าว แนะนำให้มาช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็นๆ แสงจะสวยมาก บางมุมให้ความรู้สึกเหมือนเดินเล่นอยู่ในทะเลสาบต่างประเทศเลย ได้รูปสวยๆ กลับไปอัปโหลดแน่นอน”
  5. รีวิวจาก “สายตามรอยพ่อ” (เน้นการเรียนรู้และแรงบันดาลใจ):”ตั้งใจมา ‘ตามรอยพ่อ’ โดยเฉพาะ ที่นี่ไม่ใช่แค่ป่าชายเลนสวยๆ แต่มันคือบทเรียนที่มีชีวิต ที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนและการฟื้นฟูธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำได้จริง การได้มาเดินที่นี่จึงเหมือนได้มาเติมพลังและรับแรงบันดาลใจกลับไป”
  6. รีวิวจาก “นักวางแผน” (เน้นข้อเท็จจริงและข้อควรระวัง):”สรุปข้อมูลสำคัญสำหรับคนที่จะไป: 1) ที่นี่ไม่มีค่าเข้าชม ทั้งส่วนป่าชายเลนและอควาเรียม 2) ที่จอดรถต้องจอดขนานริมถนนหน้าทางเข้า แต่ก็มีเพียงพอ 3) อควาเรียมมีขนาดเล็ก อย่าคาดหวังแบบ Sea Life แต่ให้ความรู้ดี 4) กิจกรรมพายคายัคมีเฉพาะช่วง พ.ย.-มี.ค. 5) ควรพกน้ำดื่มไปด้วย แต่ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าในอควาเรียม “

คู่มือการเดินทางสู่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ

ส่วนนี้จะให้ข้อมูลวิธีการเดินทางอย่างละเอียดจาก 2 ภูมิภาคหลัก ตามที่ผู้ใช้สอบถาม

การเดินทางจากกรุงเทพมหานคร (Bangkok)

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังอ่าวคุ้งกระเบนมี 2 วิธีหลัก

1. รถยนต์ส่วนตัว (วิธีที่แนะนำ)

  • ระยะทางและเวลา: ระยะทางประมาณ 249 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 3.5 – 4 ชั่วโมง
  • เส้นทาง:
    • เส้นทางที่ 1 (มอเตอร์เวย์): ใช้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์) มุ่งหน้าไปทาง อ.แกลง (จ.ระยอง) แล้วเข้าสู่ ถ.สุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) มุ่งหน้า จ.จันทบุรี
    • เส้นทางที่ 2 (บางนา-ตราด): ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถ.บางนา-ตราด) ผ่าน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง จนเข้าสู่ จ.จันทบุรี
    • เมื่อถึงตัวเมืองจันทบุรี ให้ใช้เส้นทางมุ่งหน้า อ.ท่าใหม่ ไปตามป้ายบอกทางไป “หาดเจ้าหลาว” หรือ “อ่าวคุ้งกระเบน”

2. รถโดยสารสาธารณะ (รถทัวร์ / รถตู้)

การเดินทางด้วยวิธีนี้มีความซับซ้อนเล็กน้อยและต้องแบ่งเป็น 2 สเต็ป เนื่องจากไม่มีรถโดยสารที่วิ่งตรงจากกรุงเทพฯ ไปถึงหน้าอ่าวคุ้งกระเบนโดยตรง

  • สเต็ป 1: กรุงเทพฯ -> สถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.จันทบุรี
    • จุดขึ้นรถ (กรุงเทพฯ): สามารถเลือกขึ้นได้ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (เอกมัย) หรือ สถานีเดินรถโดยสารขนาดเล็ก (จตุจักร) (คิวรถตู้หมอชิต 2)
    • ผู้ให้บริการ: มีหลายบริษัทให้บริการ เช่น เชิดชัยทัวร์, เกาะช้างกรุงเทพเดินรถ, บขส.999, และวินรถตู้ต่างๆ
    • ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 200 – 290 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทรถ
  • สเต็ป 2: สถานีขนส่งฯ จันทบุรี -> อ่าวคุ้งกระเบน (The “Last Mile”)
    • ระยะทางจาก บขส.จันทบุรี ไปยังอ่าวคุ้งกระเบนมีประมาณ 30-40 กิโลเมตร
    • ทางเลือกที่ 1 (เหมารถ): ที่สถานีขนส่งจะมี “รถรับจ้าง” (รถสองแถว หรือ รถยนต์ส่วนบุคคล) สามารถเหมาเพื่อไปส่งที่อ่าวคุ้งกระเบนได้ ควรตกลงราคาให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง (ราคาอาจอยู่ระหว่าง 200-300 บาท หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการตกลง)
    • ทางเลือกที่ 2 (เช่ารถ): วิธีที่คล่องตัวที่สุดคือการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ในตัวเมืองจันทบุรี (เช่น ร้านเมืองจันท์รถเช่า ) เพื่อขับขี่ท่องเที่ยวไปยังอ่าวคุ้งกระเบนและหาดอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง

การเดินทางจากภาคอีสาน (Northeast – Isaan)

ภาคอีสานเป็นภูมิภาคขนาดใหญ่ การเดินทางจะขึ้นอยู่กับจังหวัดต้นทาง โดยมี “ฮับ” หลัก 2 แห่งที่สะดวกในการเชื่อมต่อมายังจันทบุรี

1. จากนครราชสีมา (โคราช) (สะดวกที่สุด)

  • รถยนต์ส่วนตัว: ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง เส้นทางที่แนะนำคือ ออกจากโคราชใช้เส้นทาง อ.ปักธงชัย แล้วมุ่งหน้าเข้า จ.สระแก้ว (ทางหลวง 317) เพื่อลงมายัง จ.จันทบุรี แม้บางช่วง (วังน้ำเย็น-โป่งน้ำร้อน) จะเป็นถนนสองเลน แต่เป็นเส้นทางที่ตรงและสะดวก
  • รถโดยสารสาธารณะ: มีรถทัวร์วิ่งตรง จากนครราชสีมาไปยังจันทบุรี (สาย 340)
    • มีทั้งรถปรับอากาศและรถพัดลมให้บริการ
    • ตัวอย่างรอบเวลารถปรับอากาศ: 02.00 น., 06.00 น., 08.30 น., 10.30 น., 11.30 น., 13.00 น., 17.00 น., 20.30 น.
    • เมื่อเดินทางถึง บขส.จันทบุรีแล้ว ให้เดินทางต่อตาม “สเต็ป 2” (การเดินทางภายในจันทบุรี) เช่นเดียวกับการเดินทางจากกรุงเทพฯ

2. จากอุบลราชธานี (และจังหวัดใกล้เคียง)

  • รถยนต์ส่วนตัว: เป็นการเดินทางระยะไกลมาก ประมาณ 700 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาขับรถนาน (มากกว่า 10-12 ชั่วโมง) และต้องวางแผนการเดินทางและจุดพักรถอย่างดี
  • รถโดยสารสาธารณะ: เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลานาน
    • ใช้เวลาเดินทางประมาณ 14 ชั่วโมง
    • จำนวนเที่ยวรถที่วิ่งตรงมีน้อยมาก (บางข้อมูลระบุเพียง 1 เที่ยวต่อวัน ในเวลา 19.30 น.)
    • ในบางครั้ง อาจจำเป็นต้องเดินทางแบบ “ต่อรถ” (เช่น รถบัส+รถบัส)
    • คำแนะนำเชิงปฏิบัติการ: วิธีการเดินทางจากอุบลฯ หรือจังหวัดอีสานอื่นๆ ที่สะดวกกว่า อาจเป็นการนั่งรถโดยสารมาลงที่ “นครราชสีมา” แล้วต่อรถสาย 340 (ตามข้อ 1) หรือนั่งรถมาลง “กรุงเทพฯ” แล้วต่อรถที่เอกมัย/หมอชิต เพื่อไปจันทบุรี



สรุปข้อมูลสำคัญและแผนการติดต่อ

ตารางต่อไปนี้คือการสรุปข้อมูลสำคัญทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการวางแผนไปเยือนอ่าวคุ้งกระเบน

รายการข้อมูลรายละเอียด (ค่าใช้จ่ายเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
ที่ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 22120
พิกัด GPShttps://maps.app.goo.gl/3XctoWm9zUSyt8d16 (สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ)
เบอร์โทรศัพท์ศูนย์ศึกษาฯ (ภาพรวม): (039) 321930, (039) 325940
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ (ป่าชายเลน): 03-943-3216
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำฯ: 0-3936-9216-8
ช่องทางติดต่อFacebook: ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน
เวลาเปิด-ปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน: เปิดทุกวัน 06.30 น. – 18.00 น.
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำฯ: เปิดทุกวัน 08.30 น. – 16.30 น.
อัตราค่าเข้าชมเข้าชมฟรี (ทั้งส่วนป่าชายเลน และ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ)
กิจกรรมพายคายัค: 100 บาท/ชั่วโมง (ให้บริการตามฤดูกาล พ.ย. – มี.ค.)

การเดินทางที่เติมเต็มทั้งหัวใจและองค์ความรู้

อ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นมากกว่าจุดหมายปลายทางเพื่อการพักผ่อนริมชายฝั่ง แต่เป็นสถานที่ที่มอบประสบการณ์ “สองต่อ” ให้กับผู้มาเยือน

ต่อที่หนึ่ง คือความสุขและความเพลิดเพลินทางใจ จากการได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงาม , การถ่ายภาพบนสะพานไม้ที่ทอดยาว , และความตื่นตาตื่นใจของโลกใต้ทะเลในอควาเรียม

ต่อที่สอง คือความอิ่มใจและความภาคภูมิใจ จากการได้เรียนรู้ “ศาสตร์ของพระราชา” ที่ถูกนำมาปฏิบัติใช้จริงจนประสบความสำเร็จ ที่นี่คือ “ต้นแบบ” ที่มีชีวิตของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างชุมชนที่เข้มแข็งกับระบบนิเวศที่สมบูรณ์

การเดินทางมาเยือนอ่าวคุ้งกระเบนจึงไม่ใช่แค่การมา “ถ่ายรูป” แล้วจากไป แต่คือการมา “เรียนรู้” เพื่อนำแรงบันดาลใจจาก “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” แห่งนี้ กลับไปปรับใช้และสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของตนเองต่อไป

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : อ่าวคุ้งกระเบน จันทบุรี: คู่มือฉบับสมบูรณ์สู่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต จากรอยพระบาทสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน